วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559
สองเครือน้ำตาหลั่ง
เมื่อนานมาแล้ว มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่งอยู่กินด้วยกันมีลูกกันถึงอยู่ 7 คน แต่จะว่า 7 คนนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะสามีนั้น มีเมียและมีลูกมาแล้ว 4 คน ภรรยาที่อยู่ด้วยกันคนปัจจุบัน มีลูกให้อีก 3 คน แต่เมียคนแรกตายไปแล้ว เป็นอันว่าลูกทั้งหมดเป็น 7 คน ลูกทั้งหมดก็เป็นหญิงล้วน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด ทั้ง 7 ก็ได้ไล่เลี่ยกันไป ทองพันแม่ของลูกทั้ง 7 คนได้ไปส่งลูกที่สถานีรถไฟ หากแต่ทว่า บัวตองและหนึ่งฤทัย ได้แอบลอบลงไปจากรถไฟ แอบหนีไปหาแฟนที่กระท่อมปลายนาของหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับบ้านของตนที่อาศัยอยู่เดิม คู่ของหนึ่งฤทัยนั้นได้หนีไปอยู่ไต้หวัน ส่วนทางด้านคู่ของบัวตองได้ไปอยู่ที่นาร้าง จนกระทั่งมีลูก
ผัวของบัวตองชื่อ คำไผ่ วันหนึ่งคำไผ่ได้ออกจากกระท่อมปลายนาไปหาปลา ในตอนนั้นบัวตองท้องแก่ เจ็บจะคลอดลูกท้องอย่างแรง ยายขมิ้น ได้ผ่านมาหาหน่อไม้และพบเข้า จึงช่วยทำคลอดให้กับบัวตอง พอทำคลอดเสร็จแล้ว ยายขมิ้นก็นึกได้ว่าหน้าคุ้นๆ หลังจากนั้นไม่นานจึงนึกออกว่าเป็น บัวตอง ลูกนางทองพันนี่เอง จึงนำข่าวไปบอกแก่นางทองพันให้ทราบ ส่วนผัวของนางทองพันได้ยินเรื่องเข้าแกก็โกรธและรีบวิ่งแจ้นไปหาไอ้คำไผ่ พอเจอก็เกิดการต่อยตีกัน จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต นางทองพันก็ดุด่าว่ากล่าวลูก ว่าส่งให้ไปร่ำไปเรียนดันมาทำอัปรีย์เยี่ยงนี้ พูดไปด่าไปจากโมโห กลายเป็นร้องไห้ไปเสีย และไปหาพ่อกับแม่ของคำไผ่ ซึ่งมีฐานะเป็นถึง ขุนนางเก่า ให้มาสู่ขอนางบัวตองให้ถูกจารีตประเพณี แต่เศรษฐีหาได้สนใจไม่ พร้อมทั้งบอกว่ากับนางทองพันว่า ลูกของตนเองไม่มีทางทำอย่างนั้นเป็นอันขาด
นางทองพันไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะสามีก็ถูกจับ ข้อหาทำร้ายร่างกาย ตำรวจก็มีแต่จับอย่างเดียวเพื่อเอาแต่ผลงาน นางทองพันเลย จับนางบัวตองบวชชี ส่วนหลานนั้น นางจะเป็นคนดูแลเอง เวลาผ่านไปได้ 1 อาทิตย์ บัวตองก็ได้แอบหนีออกจากวัด ไปหาคำไผ่อีก เมื่อนางทองพันรู้เข้าก็ได้แต่ด่าและจับล่ามโซ่ไว้ที่บ้าน ส่วนคำไผ่นั้นก็ได้แต่คิดหาวิธีที่จะพานางบัวตองเมียของตนหนี จนสามารถทำได้สำเร็จ ปล่อยให้นางทองพันเลี้ยงลูกอยู่คนเดียว นางทองพันได้แต่กล่อมหลานไกวเปลเห่ร้องอย่างเดียวดาย ส่วนสามีนั้นพอออกมาจากคุกมาก็ได้กลับมาช่วยดูแลอย่างแต่เดิม แต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะลูก ทั้ง 5 ยังเหลืออยู่ เอ๊ะ หรือว่า ลูกทั้ง 5 นั้น จะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
ข้อคิด – บุญคุณพ่อแม่นี้หนักเกิ่ง ธรณี ผู้ได้ยอเยินยก สิรุ่งเรื่องไปหน้า ผู้ได้วาจาต้านสองเครือน้ำตาหลั่ง บาปท่อฟ้าเวรกรรมท่อแผ่นดิน
เรื่อง หัวล้านหลื่นครู
เค้าโครงจากบทประพันธ์ เรื่อง หัวล้านนอกครู
ทิดทอง กับ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน ร่ำเรียนหนังสือตำรับตำราด้วยกันตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ถึงฐานะของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้มีรังเกียจเดียดฉันท์กันเลย เมื่อทั้งสองบวชเรียนด้วยกันจนกระทั้งสึกออกมา ทั้งสองก็ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบกิจการงานอาชีพด้วยความขยันขันแข็ง
วันหนึ่งมีได้พ่อค้าเร่ขายนำน้ำมันใส่ผมมาขายถึงในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ซื้อมาใช้คนละขวด เวลาต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงออกๆ จนกลายเป็นคนหัวล้านไปซะทั้งคู่ ทั้งสองรู้สึกอับอายเป็นอันมาก ไม่อยากที่จะออกไปไหน กินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ
ชาวบ้านรู้เรื่องนั้นเข้าก็แกล้งอำๆ ว่าถ้าเอาไอ้นั่น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะออกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่ง ขี้ไก่โป่(อ้วก…!!!!) มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน
จนทั้สองต้องไปพึ่งโยคีที่อยู่กลางป่า โยคีบอกว่าให้ไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาทั่วทั้งหัวเหมือนดังเดิม ทั้งสองจึงทำตาม ดำครั้งแรกโผล่หัวขึ้นมาผมก็ขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ก็มีผมออกมาพอประมาณ ครั้ง 3 ผมนั้นเต็มหัวยาวประมาณ 3-4 เซนฯ แต่ทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัว เนื้อตายไปแล้วผมจึงขึ้นไม่ได้ แทนที่จะไปปรึกษากับโยคี ทั้งสองได้ปรึกษากันเองว่า หากดำครั้งที่ 4 ผมจะต้องขึ้นเป็นแน่ จึงดำน้ำลงไปอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อโผล่หัวขึ้นมา กลับกลายเป็นคนหัวล้านกบาลใสเช่นดังเดิม คราวนี้แม้แต่โยคีก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ทั้งสองร้องได้แต่ไห้โวยวาย และเดินก้มหัวกลับบ้านด้วยความผิดหวัง
นี่แหละ ที่มาของคำว่าหัวล้านหลื่อครู
ข้อคิด
– อย่าหลื่นคำผู้ใหญ่บอก ผู้ใหญ่สอน บอกคำไหนต้องคำนั้น
– เราเกิดบนแผ่นดินเดียวกัน รักกันไว้แหละดี
เรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่
วันหนึ่งเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วที่บ้านตาดทอง ในฤดูกาลของฝน ได้มีการเตรียมปักดำกล้าต้นข้าว และทุกครอบครัวจะออกไปไถนาเตรียมการเพราะปลูก มีครอบครัวของชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าพ่อ ได้ออกไปปลุกข้าวเช่นเดียวกัน
วันหนึ่งเขาไถนาอยู่จนตะวันขึ้นสูงแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นยิ่งนัก และหิวข้าวมากกว่าทุกวัน ปกติแล้วแม่จะมาส่งก่องข้าวให้ทุกวัน แต่วันนี้กลับมาช้ากว่าปกติมาก
เขาจึงหยุดไถนาแล้วเข้าไปพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ ปล่อยให้เจ้าทุยไปกินหญ้าสายตาก็เหม่อมองไปทางบ้านของตน เฝ้ารอคอยแม่ที่จะนำข้างก่องมาส่ง ตามเวลาที่ควรจะมา ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ ยิ่งตะวันขึ้นสูงแดดก็ยิ่งร้อนแรงขึ้นความหิวก็ยิ่งทวีคูณขึ้นตามไปด้วย
ทันใดนั้นเองเขาได้มองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคันนา พร้อมกับก่องข้าวน้อยๆ ห้อยอยู่บนเสาแหรกคาน เขาบังเกิดความไม่พอใจที่แม่เอาก่องข้าวน้อยนั้นมาช้ามาก ด้วยความหิวจนตาลาย เขาคิดว่าข้าวในก่องข้าวน้อยนั้นคงกินไม่อิ่มเป็นแน่ จึงต่อว่าแม่ของตนว่า
“อีแก่ ไปทำอะไรอยู่ถึงมาส่งข้าวให้กูกินช้านัก
ก่องข้าวก็เอามาแต่ก่องน้อยๆ กูจะกินอิ่มหรือ?”
ผู้เป็นแม่ตอบลูกว่า “ถึงกล่องข้าวจะเล็กแต่ก้อน้อยแค่รูปนอกข้างในแน่นนะลูกเอ๋ย ลองกินดูก่อน”
ความหิว ความเหนื่อย ความโมโห ทำให้หูอื้อตาลาย ไม่ยอมฟังสิ่งใด เกิดบันดาลโทสะอย่างแรงกล้า คว้าเอาไม้แอกแล้วเข้าตีแม่ที่แก่ชราจนล้มลงแล้วก็เดินไปกินข้าว แม้กินข้าวจนอิ่มแล้วแต่ข้าวยังไม่หมดก่อง จึงรู้สึกผิดชอบชั่วดี รีบวิ่งไปดูอาการของแม่และเข้าสวมกอดแม่
” อนิจจา ในตอนนี้แม่สิ้นใจไปเสียแล้ว..”
ชายหนุ่มร้อยไห้โฮ สำนึกผิดที่ตนได้ฆ่าแม่เพียงด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ไม่รู้จะทำประการใดดี จึงเข้ากราบ นมัสการสมภารวัดเล่าเรื่องให้ท่านฟังโดยละเอียด
สมภารสอนว่า “การฆ่าบิดามารดาของตนเองนั้นเป็นบาปหนัก เป็นมาตุฆาต ต้องตกนรกอเวจีตายแล้วไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเป็นคนอีก มีหนทางเพียวหนทางเดียวจะให้บาปเบาลงได้ก็ด้วยการสร้างธาตุก่อกวมกระดูกแม่ไว้ ให้สูงเท่านกเขาเหิน จะได้เป็นการไถ่บาปหนักให้เป็นเบาลงได้บ้าง”
เมื่อชายหนุ่มปลงศพแม่แล้ว จึงได้ขอร้องชักชวนญาติๆและชาวบ้านช่วยกันปั้นอิฐก่อเป็นธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่ไว้ จึงให้ชื่อว่า “ธาตุก่องข้าวน้อยฆ่าแม่” จนตราบถึงทุกวันนี้
ทุกวันนี้มีผู้มากราบธาตุก่องข้าวน้อยฯทุกวันเพื่อมาขอขมาลาโทษเหมือนกับเป็นการไถ่บาปที่ทำให้พ่อแม่ของตนเสียใจ บางคนเมื่อมีลูกแล้วจึงได้รู้ว่าบุญคุณของพ่อแม่มากเหลือคณานับ เพิ่งรู้ว่าต้องเลี้ยงดูลูกนั้นยากหนักหนาซักเพียงใด จึงมาสำนึกที่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ บ้างก็มากราบไหว้เพื่อรำลึกถึงบุญคุณแม่
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ทำดีกับพ่อแม่ยามเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ดีว่า สำนึกได้เมื่อท่านได้จากไปแล้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)